OKINAWA Roadtrip โนแพลน 5 วัน 4 คืน

สวัสดีครับ ห่างหายจากการรีวิวไปนานมากๆ
ส่วนใหญ่จะเล่น instagram มากกว่า ถ้าใครเล่นก็มาติดตามกันได้นะครับ
www.instagram.com/hasinghaa เข้ามาทักทายกันได้ตลอดเลยคับผม

รอบนี้เป็นรีวิวแบบสดๆร้อนๆ เพราะเพิ่งกลับมาเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง
เนื่องจากเดือนสิงหาคมนี้ ว่างมากๆ เลยหาเวลาสั้นไปเที่ยวญี่ปุ่นมาครับ
ที่บอกว่าสั้นๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เที่ยวญี่ปุ่นแบบ 5 วัน 4 คืน คือน้อยกว่า 1 อาทิตย์ ฮ่าๆ
ปกติจะไปมากกว่าหนึ่งหรือสองอาทิตย์ครับ

ครั้งนี้เลยเป็นการเที่ยวแบบชิวมากๆ คือแทบจะไม่ได้วางแผนอะไรเลย แค่จองโรงแรม และหาสถานที่ที่น่าสนใจเอาไว้ใน google map แค่นั้นเอง
ซึ่งอยากบอกว่าผิดมากๆครับ ฮ่าๆๆ ขับรถวนไปวนมาทั่วเกาะ แต่ก็สนุกไปอีกแบบนะครับ การขับรถบนเกาะโอกินาว่า ที่ขับไม่ยาก
นั่งแหกปากร้องเพลงกับ list เพลงจาก spotify ทำให้โอกินาวะ มอบความสนุกสนานและพลังแห่งความสุขให้ผมกลับมาที่เชียงใหม่เพียบเลยครับ

มาดูกันว่าพวกเราไปไหนกันบ้าง และจริงๆแล้วควรจะไปเที่ยวแบบไหนถึงจะดี
ผมเตรียมไว้ให้ในรีวิวนี้หมดแล้วครับ

ระยะเวลาการเดินทาง 20-25 สค. 2018

Day 1 : 20/08/2018 (ลงเครื่องที่สนามบิน / เช่ารถ / Nago / Kouri Island)

– ผมเริ่มเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิเช้าวันที่ 20 ครับ เวลาประมาณ 1.30 น. จากกรุงเทพ ไป โอกินาวะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4.30 ครับ ไปถึงก็เช้าพอดี
– พอเช้าไปถึงสนามบินก็จะเจอหน้าตาสนามบินประมาณนี้ เนื่องจาก PeachAir เป็นสายการบินโลคอส ทำให้สนามบินที่เราไปลงคือ สนามบินโลวคอส หรือ คาร์โก ของที่นั่นครับ
– สนามบินก็จะเล็กมากๆ (โอกินาวะ มี 3 เทอร์มินอล นะครับ คือ อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล , โดเมสติก เทอร์มินอล และ อันนี้ LCC เทอร์มินอลครับ)
– พอลงจากเครื่อง ผ่าน ตม. เรียบร้อย ออกมาก็จะเจอกับเค้าท์เตอร์สายการบิน และ เค้าท์เตอร์รถเช่าครับ อยู่ส่วนเดียวกันเลย ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลครับ


การเช่ารถ
– ผมได้ทำการจองรถจากที่เมืองไทยมาก่อนกับทางบริษัท OTS ครับ อันนี้ถามเพื่อนที่เคยมาเที่ยวเค้าบอกบริการดี เราก็เชื่อเค้า
– สามารถจองได้ทาง https://www.otsinternational.jp/otsrentacar/en/okinawa/ มีภาษาอังกฤษอ่านง่ายๆครับ
– วิธีจองก็ง่ายๆครับ เลือกวันเวลาที่เราต้องการ สถานที่รับรถ(แนะนำว่าสนามบินดีที่สุด กรณีจะขับรถไปที่อื่น) สถานที่คืนรถ และรถที่เราต้องการครับ
– หากจองทางอินเตอร์เน็ต จะมีส่วนลดนิดหน่อยครับ
– เมื่อจองเสร็จทาง OTS จะส่งเมลล์มายืนยัน คอนเฟิร์มว่า เราทำการจองรถวันนี้นะ แล้วก็จะมีอีกเมลล์มาบอกเวลานัดหมายเพื่อนั่ง shuttle bus ไปที่ศูนย์เช่ารถของ OTS
– เมื่อเดินทางมาถึงที่สนามบิน จะมีเจ้าหน้าที่ (คนไทย) ด้วยนะ มาให้เราเซ็นเอกสาร และพี่เค้าจะคอยอธิบายวิธี และกฏหมายต่างๆ ให้เราเข้าใจระหว่างที่นั่งรถไปที่ศูนย์
– พอถึงศูนย์ของ OTS ก็ต่อคิว ลงไปทำการเซ็นเอกสาร จ่ายเงิน อ้อขั้นตอนนี้จะมีการให้เราซื้อประกันรถด้วย จะมีแบบ Premium และ Basic ซึ่งปกติเวลาผมขับรถเที่ยวจะต้องซื้อประกันเผื่อไว้ก่อนอยู่แล้ว รอบนี้ก็เลือกแบบเบสิคไป เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร กฏหมายของที่นี่ให้ขับในเมืองไม่เกิน 50 และขับบนทางด่วนไม่เกิน 80 ขับช้าแบบเต่ากัดยางแบบนี้ไม่น่าจะมีอุบัติเหตุแน่นอน ก็เลยเลือกแบบธรรมดาไป ก็ครอบคลุมในระดับหนึ่งครับ
– อีกหนึ่งเรื่องคือ ค่าทางด่วน หากออกนอกเมืองไปเมือง Nago หรือขึ้นเหนือ ส่วนใหญ่จะต้องไปทางด่วนของญี่ปุ่นอยู่แล้ว ถ้ากรณีขี้เกียจเสียเวลาแบบผมสามารถขอเช่าบัตร ETC ที่นี่ได้เลยครับ จะมีแบบเหมาจ่าย 3,000 เยน 120 ชั่วโมง ไม่จำกัดรอบ หรือ ค่าเช่า 324 เยน มัดจำ 5,000 เยน จ่ายค่าทางด่วนตามจริง ครับ มีสองแบบ ผมเลือกแบบจ่ายตามจริง เพราะไม่คิดว่าจะเยอะ พอเอาเข้าจริงก็เกิน 3,000 มานิดหน่อยครับ
– จ่ายเงินเสร็จก็ทำการตรวจเช็ครถ เก็บของ และเริ่มออกเดินทางได้เลย

ปล. สาย AUX สำหรับต่อมือถือฟังเพลง ส่วนใหญ่จะอยู่ตรงฝั่งคนนั่งข้างคนขับ ลองหาดูดีๆนะครับ อาจจะอยู่ในลิ้นชักเป็นสายต่อออกมาก็ได้ ผมมาเจอวันที่สองแล้วฮะ ฮ่าๆ

– ออกจาก OTS ก็ตรงดิ่งขึ้นเหนือมา Nago เลย เพราะเราจองโรงแรมไว้ที่นี่ครับ คืนนี้เรานอนที่เมือง MOTOBU ครับ
– จุดหมายแรกที่แวะหลังจากขับรถคือ คือ คือ BLUE SEAL ICE CREAM นี่แหละครับ เห็นตึกสีส้มสะดุดตามาแต่ไกล
– BLUE SEAL สาขานี้อยู๋ที่ Nago นะครับ คือเราผ่านตรงนี้หลังจากที่เราออกทางด่วนมาครับ
– ตรงจุดนี้จะอยู๋ริมทะเล มองเห็นสีน้ำทะเลสีฟ้าใส สวยงามแต่ไกลขณะที่เราขับรถมาเลยครับ เลยทำให้พวกเราแวะถ่ายรูปกันนั่นเอง

– หลังจากถ่ายรูปเสร็จก็หิวครับ เพราะเรามัวชิลอยู่ ตั้งแต่หลังจากลงเครื่องมา เลยแวะหาอะไรง่ายๆกิน แถวนี้มีร้านอาหารหลากหลายครับ แต่เริ่มมื้อแรกที่คุ้นเคยด้วย SUKIYA ฮ่าๆ ข้าวหน้าเนื้อที่กินบ่อยมากๆ ตอนไปเที่ยวโตเกียว
– เพราะว่าไม่ได้แพลนเที่ยวมา ระหว่างนั่งกินข้าวก็เลือกว่าจะไปไหนกันก่อน
– พอดูหมุดที่ปักไว้ใน google map ก็สรุปได้ว่า ไปหากาแฟกินก่อน หลังจากกินข้าวเสร็จ จากนั้นแวะที่แหลม BISE และไปปิดท้ายที่เกาะ KOURI

– FLAP COFFEE สายคาเฟ่อย่างเราก็ไม่พลาด สำหรับร้านกาแฟสีฟ้าแบบนี้ ร้านนี้ไม่ธรรมดาครับ การตกแต่งร้าน และเมนูต่างๆ รวมทั้งขนมทุกอย่างดีหมด แนะนำครับ
– ร้านอยู่ระหว่างทางไปเมือง MOTOBU ครับ
– ออกจากร้าน เราก็มุ่งหน้าขับรถขึ้นไปยังแหลม BISE
– ขึ้นชื่อว่าแหลม ก็ออกแนวริมทะเล มีชายหาดให้ลงไปเล่นน้ำกันได้ครับ
– แต่ที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ อุโมงค์ต้นไม้ BISE NO FUKUGI หรือ Tunnel Tree นั่นเองครับ
– ย่านต้นไม้ที่มีชื่อของที่นี่ ก็คือย่านคนอยู่อาศัยนั่นเองครับ ในตอนแรกผมก็ งง ว่ามันคือตรงไหน สรุปคือสามารถเดินลัดเลาะถ่ายรูปแถวๆนั้นได้ แต่ระวังอย่าไปรบกวนชาวบ้านเค้านะครับ
**ผมไปจอดรถที่ริมหาดตรงแหลม BISE แนะนำว่าให้หาที่จอดด้านนอกแล้วเดินเอาครับ เพราะที่จอดรถริมหาดจะต้องเสียค่าจอด 500 เยน ซึ่งผมว่าราคาค่อนข้างสูง


– ออกจากอุโมงค์ต้นไม้ก็เดินทางต่อไปเกาะ Kouri ครับ เพื่อไปดูหินรูปหัวใจอันเลื่องชื่อ
– ที่เกาะนี้จะต้องขับรถข้ามสะพานจากเกาะ Yagaji ไปครับ ก่อนขึ้นสะพานสามารถแวะเดินชิลริมหาด หรือถ่ายรูปเล่นได้ มีที่จอดรถฟรีครับ
– เกาะ Kouri จะอยู่ทางเหนือของเมือง Motobu ไปนิดนึงครับ ขับรถไปไม่ไกลมา บนเกาะก็ไม่มีอะไรมากครับ
– จะเป็นเกาะเงียบๆ เพราะงั้นเพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมเลยขับตรงดิ่งไป Heart Rock เลยครับ
– แถวๆนี้จะมีที่จอดรถแบบเสียเงินหลายแบบ ผมเลือกอันที่ใกล้กับหินที่สุด เพราะจะได้เดินไม่ไกล แถมค่าจอด 100 เยน ครับ หากเป็นลูกค้าของร้านค้าจอดฟรีอีกด้วย

– ไอ้เจ้าหินนี่ผมคิดว่ามันเหมือนหางปลาวาฬมากกว่าหัวใจซะอีกนะครับ ฮ่าๆ
– พวกเราเดินเล่นถ่ายรูปริมหาดกันจนพระอาทิตย์ตกเลยครับ จากนั้นถึงขับรถกลับไปยังโรงแรมเพื่อเช็คอิน
– แต่ระหว่างเดินทางกลับ ก่อนจะขึ้นสะพาน ผมเห็นทางเดินยาวเข้าไปจากหาด เป็นเหมือนที่คนมาตกปลากัน เลยหาที่จอดรถเพราะจะลงไปถ่ายรูปครับ
– ทำให้พวกเราได้เจอถ้ำเล็กๆแถวๆนั้น เลยได้ภาพถ่ายคู่กับพระอาทิตย์ตก ปิดท้ายวันแรกอย่างสวยงามครับ

– คืนนี้เราพักที่โรงแรมชื่อ Mr.Kinjo Motobu 1 คืนครับ มื้อเย็นก็หาอะไรทานง่ายๆแถว รร. แหละครับ มีร้านอาหารเยอะเลย พวกเราได้ร้านโลคอลฟู๊ด เป็นอาหารตามสั่งพวกผัดมะระ ปีกไก่ยัดใส้เกี๊ยวซ่า
– กินอิ่มก็นอนหลับฝันดีราตรีสวัสดิ์ครับ

Day 2 : 21/08/2018 (Churaumi Aquarium / Orion Happy Park / Inno Coffee / Cape Hedo)

– เช้าวันที่สองเริ่มต้นที่อควาเรียมชื่อดังของญี่ปุ่นกันก่อนเลยครับ ผมเคยเห็นภาพของเจ้าตู้ปลาขนาดยักษ์บรรจุฉลามวาฬไว้ในนี้ถึงสองตัวด้วยกันมานานมาก จนวันนี้ได้มาที่นี่ยังไงก็ไม่พลาดที่จะต้องเข้าไปชมด้วยสองตาให้ได้
– ค่าตั๋วเข้า Churaumi Aquarium คนละ 1,850 เยน ครับ หากคิดว่าจะมาที่นี่แล้วจริงๆซื้อกับบริษัทเช่ารถหรือเอเจ้นท์จะถูกกว่านิดหน่อยครับ ประมาณ 1500-1600 เยนครับ
– ด้านในของ Aquarium จะแบ่งเป็นส่วนต่างๆ ทั้ง indoor และ outdoor เอาเป็นว่าสามารถอยู่ได้ทั้งวันครับ เสียดายเรามีเวลาไม่มาก เลยเลือกดูเฉพาะสิ่งที่น่าสนใจเท่านั้น
– มาถึงผมก็ตรงดิ่งไปส่วนของเจ้าตู้ปลาเลยครับ ระหว่างทางก็มีตู้เล็กให้ดูก่อน มีหลากหลายสายพันธุ์ครับ ทั้งแมงกระพรุน ม้าน้ำ ปลาต่างๆมากมาย ส่วนลูกเล็กเด็กแดงก็เต็มไปหมดครับ คงเพราะที่นี่เป็นเหมือนเมืองตากอากาศ นักท่องเที่ยวก็จะเยอะหน่อย
– มาถึงจุดไฮไลท์ คือเจ้าตู้ปลาขนาดใหญ่ เค้าจะมีเวลาโชว์ให้อาหารปลาด้วยเป็นรอบๆไปนะครับ ส่วนเจ้าฉลามวาฬก็จะว่ายวนตู้ไปเรื่อยๆให้คนได้ถ่ายภาพกันครับ

– ที่นี่ยังมีอีกหลายอย่างน่าสนใจนะครับ เช่นการแสดงปลาโลมา แต่พวกผมเวลาน้อย ต้องไปอีกหลายที่ เลยรีบออกขับรถไปต่อจุดอื่นกันครับ
– ระหว่างจากมิวเซียม พวกเราแวะกินอาหารชื่อดังอีกหนึ่งอย่างของที่นี่ครับ คือ โซบะหมูสามชั้นๆๆๆๆๆๆ ซึ่งนุ่มละลายในปากมากๆครับ
– พิกัดของร้านอยู่ใกล้ๆกับ ร้านขายของฝากชื่อ DINO Park ครับ ส่วนร้านโซบะชื่อ Yoshiko


– ขับรถจากที่นี่ลงไปยังเมือง Nago กันครับ จุดหมายของเราคือไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตเบียร์ที่ขึ้นชื่อของเกาะนี้กัน Orion Happy Park ครับ
– มาถึงก็ขับรถไปจอดยังที่จอดรถที่เค้าจอดไว้ให้ จากนั้นก็เข้าไปที่รีเซฟชั่น บอกเค้าว่าเราอยากมาเยี่ยมชมทัวร์ของเค้า เค้าก็จะถามว่าได้จองไว้มั้ย ถ้าไม่ได้จองก็ต้องรอตามรอบที่เค้าจัดให้ครับ
– ผมเองไม่ได้แพลนมาก็ไม่ได้จองไว้เหมือนกัน เลยทำให้ต้องรอประมาณ 40 นาที
– ระหว่างรอ ไม่อยากให้เสียเวลา เห็นว่าใกล้ๆมีคาเฟ่ เลยขับรถออกไปที่คาเฟ่ครับ
– ร้านกาแฟชื่อ Inno Coffee มีร้านขนมปังข้างๆด้วยนะ คนมาต่อคิวเยอะเลยครับ
– Inno Coffee ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆครับ อยู่ในตรอกเป็นคูหาห้องเดียว มีคุณลุงเจ้าของทำอยู่คนเดียวนี่แหละครับ ตัวกาแฟก็อร่อยใช้ได้เลย กินกาแฟที่นี่สองร้าน ดีทั้งสองร้านเลยแหะ
– ส่วนร้านขนมปังข้างๆ ก็ไม่แย่นะครับ อร่อยแถมราคาถูกเลยครับ มิน่าคนต่อคิวเยอะเชียว

 

 

– หลังจากกินกาแฟและขนมปังอย่างรวดเร็ว ก็ถึงเวลาต้องกลับไปทัวร์ Orion ของเราแล้วล่ะครับ



– สำหรับขั้นตอนการทัวร์ก็ไม่มีอะไรมาก จะมีคนคอยแนะนำพาไปตามจุดต่างๆ แต่ไม่มีภาษาอังกฤษนะครับ เค้าจะมีสมุดแปลให้หนึ่งชุด ให้อ่านเอาเอง ส่วนไกด์จะพูดภาษาญี่ปุ่นครับ
– ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 40 นาที หลังจากนั้นจะมีให้เทสเบียร์ครับ โดยตอนเข้ามาตอนแรกเค้าจะถามว่าใครเป็นคนขับรถ เค้าจะให้เข็มกลัดอีกแบบครับ
– เพราะที่นี่คนขับรถจะไม่สามารถดื่มเครื่องดื่มมีแอลกฮอล์ได้ คนขับรถจะได้เบียร์แบบไม่มีแอลกฮอล์ หรือเลือกพวกชา น้ำอัดลมแทนครับ
– ส่วนผู้โดยสารจะสามารถดื่มเบียร์ได้ 2 แก้วครับ พร้อมสแนคอีกคนละถุง เป็นอันเสร็จพิธีครับ

– แหลมเฮโดะ คือเหนือสุดของเกาะโอกินาวะแล้วครับ
– ออกจาก Orion เรามุ่งน่าขับรถเลียบริมทะเลเพื่อขึ้นไปทางเหนือสุดของเกาะกัน
– เส้นนี้อยากบอกว่าสวยมาก อารมณ์ขับเลียบชายฝั่งของออสเตรเลียกันเลยทีเดียว (เดว มรึงไม่เคยไปออสเตรเลีย)
– เอาเป็นว่าเส้นนี้สวยมาก เส้นทางขับก็ชิวๆ แทบไม่มีรถเลย แต่ก็ยังขับตามกฏหมายอยู่นะ

– แหลมเฮโดะ ที่นี่ลมค่อนข้างแรง และนักท่องเที่ยวไม่มากครับ
– แลนด์สเคปจะอารมณ์มีหินเยอะๆ ยืนดูคลื่นกระทบฝั่ง แน่นอนเล่นน้ำไม่ได้แน่ๆ ถ้าคลื่นจะแรงขนาดนี้
– ตอนผมไปที่นี่มีร้านค้าอยู่หนึ่งร้านถ้วน ซึ่งก็ปิดไปเรียบร้อยครับ
– พวกเราถ่ายรูปเล่น พักเหนื่อยจากการขับรถกันพอประมาณ จากนั้นก็ต้องขับรถกลับเข้า NAHA กันเลย ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ครับ
– เรียกได้ว่าถึงก็ดึกพอดี คืนนี้พักที่โรงแรม ESTINATE HOTEL ครับ พักที่นี่ยาวจนวันกลับเลย เพราะขี้เกียจย้ายของกัน


Day 3 : 22/08/2018 (Good Day Coffee / Cape Zanpa / Yaschimun no sato / Yoyo an factory / Kramp coffee / Katsuren Castle / American Village)

– เริ่มต้นวันดีๆ ด้วยร้านกาแฟชื่อดีชื่อ Good Day Coffee ครับ
– ร้านนี้เปิดร้านเช้ามากๆ และคนก็เยอะมากๆเช่นกัน คนส่วนใหญ่จะมากินอาหารเช้าที่นี่ครับ แต่พวกเราจัดที่ รร. มาแล้ว ซึ่งที่ รร. เป็นอาหารเช้าแบบให้เราเลือกได้ตามเมนูของเค้า 4-5 อย่าง ซึ่งน่ากินทุกอย่างครับ
– จึงทำให้เราไม่เหลือท้องสำหรับอาหารเช้าที่นี่ ขอเป็นกาแฟคนละแก้วเช้าๆ น่าจะดีกว่า

– เริ่มต้นด้วยร้านกาแฟชื่อดีๆก็จริง แต่วันนี้ออกแนวเที่ยวมั่วๆมากๆครับ
– หลังจากได้กาแฟมาเรียบร้อยก็ออกเดินทางขับตรงขึ้นไป Cape Zanpa กันครับ ที่นี่มีประภาคารไว้ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวดูกันด้วย
– ด้วยความโชคดีเต็มแม๊กซ์ พอไปถึงที่หมายเข่าแทบทรุด จากที่หมายมั่นปั้นมือจะมาถ่ายรูปกับประภาคาร ปรากฏว่าซ่อมครับ และขึ้นไปชมวิวไม่ได้ด้วย เลยหน้าจ๋อยถ่ายรูปแถวๆนั้นไป
– แลนด์สเคปของที่นี่จะเป็นแหลมหินซ้อนๆกัน คล้ายๆ Cape Hedo นะครับ แต่มีจุดเด่นคือประภาคารสีขาว และสามารถเดินเล่นรอบๆได้เช่นกัน แต่อยากให้ระมัดระวังด้วยนะครับ เพราะหินที่นี่ค่อนข้างคม ถ้าใส่รองเท้าแตะอาจจะมีบาดเจ็บได้บ้าง

– โยนความผิดหวังทิ้งลงทะเลไป แล้วมุ่งหน้าเดินทางไปเที่ยวต่อที่ Yachimun No Sato ครับ
– ที่ Yachimun no sato เป็นหมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผา แบบว่ามีโรงงานทำกันที่นี่ วางขายตากแดดกันหน้าบ้านเลยทีเดียว แต่ด้วยความไม่อินเท่าไร เลยไม่ได้อะไรติดมือมาแค่มาเดินดูเฉยๆครับ
– สิ่งที่น่าสนใจของที่นี่คือจริงๆแล้วมีร้าน Bakery Suien เป็นร้านขนมปังโบราณ ร้านสวยงามสไตล์ญี่ปุ่นเก่าแก่ แต่… เราไม่ได้เที่ยววันนี้ครับ เรากลับมาในวันพรุ่งนี้แทน
– เพราะฉะนั้น หากใครคิดว่าจะมาเที่ยวที่นี่แนะนำให้ผ่านเข้าไปร้าน Bakery ด้วยเลยนะครับ จะได้ไม่พลาดแบบเรา


– สิ่งดีๆอีกอย่างแถวนี้คือ ร้านโซบะครับ อยู่ติดกับถนนใหญ่ ผมจำชื่อไม่ได้แต่รู้ว่าอยู่ตรงทางออกสามแยกตรงถนนเลย เป็นร้านโซบะที่คนยืนต่อคิวเยอะมาก และที่สำคัญที่สุดคืออร่อยมากครับ
– ถ้าใครแวะมาช่วงเช้าแบบผม ก็สามารถปักที่นี่ให้เป็นร้านสำหรับมือกลางวันได้เลยครับ แนะนำเลย
– หน้าตาร้านเป็นแบบนี้คับ

– หลังจากกินคาวแล้วก็ต้องกินหวานตาม
– ถัดไปเป็นร้านโมจิ ไดฟุกุ ชื่อ Yoyo An Factory ครับ ร้านนี้คงความเป็นญี่ปุ่นแท้ๆ ด้านนอกดูเหมือนบ้านธรรมดา ดูแทบไม่ออกว่าขายอะไร
– พอเปิดประตูเข้าไปจะเจอที่นั่งทานขนมเล็กน้อย และเคาท์เตอร์สำหรับออร์เดอร์ครับ เสียดายเรามาช้าไปอีก เหลือเพียงโมจิไม่มีไส้ และเครื่องดื่มเท่านั้น ไดฟุกุไส้ถั่วแดง และ โดรายากิ Sold Out ครับ
– เราจึงสั่งโมจิ และสั่งเครื่องดื่มครับ เพราะเค้าบังคับว่าถ้าหากทานที่ร้านจะต้องสั่งเครื่องดื่มคนละหนึ่งอย่างนะครับ เลยได้ ชาเขียวกับน้ำแบบโอกินาวะ ซึ่งไม่รู้ว่าคือน้ำอะไร รสชาติอารมณ์กระเจี๊ยบครับ
– ไดฟุกุไซส์พิเศษ ระหว่างที่กำลังถ่ายรูปกันอยู่ ทางคุณเจ้าของก็นำไดฟุกุไซส์มินิมาให้ลองครับ เค้าบอกว่าอันเล็กไปหน่อย เหลือเพียงแค่นี้ อยากเอามาให้ลองชิม น้ำตาจิไหล อยากกินโดรายากิมากกว่า ฮ่าๆๆ
– หลังจากได้ลองครบทุกอย่างก็คิดว่า ถ้ากลับมาอีกคงจะมาตั้งแต่เช้าเลย เพราะผมชอบกินโดรายากิมาก และถั่วแดงของที่นี่ก็หวานพอดี อร่อยมากๆครับ เสียดายจริงๆ

– ออกจาก Yoyo An Factory ไปหากาแฟกินต่อกับสายคาเฟ่อย่างเรา
– ร้านต่อไปชื่อร้าน Kramp Coffee ครับ ตอนพวกเราไปวนหาที่จอดรถยากมาก สรุปสามารถจอดแปะริมถนนข้างทางได้เลย ไม่แน่ใจเพราะอะไรนะครับ แต่ลองถามเจ้าของร้านบอกได้เลยจอดเลย
– Kramp Coffee เป็นร้านกาแฟชิวๆ ที่นี่ไม่ให้วุ่นวายเดินถ่ายรูปนะครับ ควรจะนั่งถ่ายที่โต๊ะเท่านั้น ถ้าอยากลุกมาถ่ายต้องถามเค้าก่อน ผมถามแล้วไม่ได้นะ ฮ่าๆ เลยถ่ายแถวๆโต๊ะตัวเองอย่างเดียว
– กาแฟที่นี่ดีมากครับ อีกอย่างที่แนะนำคือ ไอศกรีมบิสกิตธัญพืช และน้ำมะนาวดองโซดาครับ ดีทุกอย่าง แนะนำอีกหนึ่งคาเฟ่ครับ

– หลังจากชิวร้านกาแฟเสร็จก็ควรจะเพิ่มสาระให้ตัวเองบ้าง เลยมุ่งหน้าไปปราสาท Katsuren ครับ ที่นี่เป็นอีกหนึ่งปราสาทที่ขึ้นชื่อของที่นี่ อยู่ทางด้านขวาของเกาะครับ
– แพลนคือ วันนี้เก็บฝั่งขวาของเกาะให้หมด พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องมาแล้ว และร้าน Yoyo AN กับ Kramp ก็อยู่ด้านนี้เช่นเดียวกันครับ
– ปราสาท Katsuren Castle เป็นเหมือนป้อมปราการนะครับ ตั้งอยู่บนเขาของเมือง เป็นจุดยุทธศาสตร์ สามารถมองเห็นเมืองได้รอบทิศ ขึ้นมาดูวิวเฉยๆก็สวยแล้วนะ
– ที่นี่ใช้เวลาไม่นานครับ น่าจะประมาณ 30-60 นาที ถ้าโหลดแอพของที่นี่ตามจุดต่างๆจะมี AR เป็นกราฟฟิคโชว์ในมือถือด้วยนะ ลองดูสนุกดีครับ

– เที่ยวจนหมดแรง เพราะขับรถวนไปวนมา แม้แต่ละที่จะใช้เวลาไม่เยอะมาก แต่ก็เล่นเอาแรงหมดได้ครับ
– ที่สุดท้ายที่เราแวะก็คือ American Village ครับ ก็ลองแวะมาดูเพราะไม่รู้จะไปไหน มีรถนี่นา อยากไปไหนก็ไปได้นะ สบายตรงนี้แหละ Roadtrip
– ท้องฟ้าส่งท้ายของวันของที่นี่เติมเต็มวันดีๆของเราได้ดีจริงๆครับ แม้อะไรจะผิดหวังแค่ไหนมันก็แค่วันวันหนึ่ง ตื่นมาพรุ่งนี้เช้าก็เป็นอีกวัน ให้เราตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เริ่มต้นวันใหม่ ลืมอดีตที่ผ่านมาไว้เป็นเพียงบทเรียนครับ

Day 4 : 23/08/2018 (American Village / Minatogawa Stateside Town / Munakatado Bakery / Cape Manzamo / Bakery Suien)

– วันที่สี่ของทริป วันนี้เราเรียกว่าวันเก็บตก อะไรที่เราพลาดไปเราจะเก็บให้หมดในวันนี้ครับ
– เริ่มด้วยเช้ามา ก็หาของหวานกินก่อนเลย ด้วยการแวะ Blue Seal Ice Cream สาขาใหญ่ทางผ่านระหว่าง Naha ไป Nago ครับ จริงๆอยู่ในเมืองนั่นแหละ ติดถนนเลย
– สาขานี้เป็นสาขาริเริ่มของ Blue Seal ครับ มีส่วนของ Museum ด้วย สามารถเข้าไปชมได้ แต่ผมไม่ได้เข้าไปนะครับ วันนั้นเห็นเด็กๆเยอะ แถมโปรแกรมเราค่อนข้างแน่นด้วย
– ได้แค่แวะถ่ายรูปกับแวะกินไอติมครับ ลองรส Blue Wave ชอบมากๆ กินหลายรอบเลยคับ เวลาเจอก็กินแต่รสนี้


– ออกจากร้าน เราก็ไปแวะเดินเล่นกินกาแฟที่ American Village กันต่อครับ ที่นี่มีร้านชื่อว่า Zhyvago Coffee ครับ เป็นร้านริมทะเล รสชาติกาแฟพอใช้ได้ แต่บรรยากาศดีมากกกก
– ในส่วนของ American Village ร้านจะเปิดสายหน่อยนะครับ ถ้ามาแนะนำให้มาประมาณ 10 โมงขึ้นไป บางร้านเปิด 11 โมงด้วยซ้ำครับ
– อ้อ Blue Seal ที่นี่ก็มีนะครับ เผื่อใครไม่อยากเสียเวลาแวะที่สาขา Main
– เราใช้เวลาที่นี่ไม่มากครับ เพราะเมื่อวานตอนเย็นก็มาเดินแล้วรอบนึง แต่บรรยากาศตอนเช้ากับกลางคืนนี่คนละเรื่องเลยนะครับ ตอนกลางคืนเห็นมีนักดนตรีเปิดหมวกมาเล่นด้วย แถมเล่นดีอีกตะหากเน้อ


– ออกจากที่นี่เราก็ไปหาขนมกินกันที่ Minatogawa Stateside Town และ Munakatado Bakery ครับ
– เรามาพูดถึงย่าน Minatogawa กันก่อน ย่านนี้จะมีร้านดังๆหลายร้านเลย เช่น Houkiboshi Canele , Cocoroar , Cerrado Coffee และ Ohacarte ครับ
– ผมกะว่าจะเข้าให้หมดทุกร้าน สุดท้ายได้เพียงสองร้าน
– ร้านแรกคือ Houkiboshi Canele ร้านนี้ตั้งใจมามาก เพราะชอบกินครับ และกลัวหมดเหมือนร้าน Yoyo An เลยรีบมาแต่เช้าเลย สุดท้ายก็ไม่หมดครับ ได้มาหนึ่งกล่องสมใจ รสชาติก็อร่อยดีครับ คำเล็กๆน่ารัก มีไส้อยู่ 8 แบบ
– ต่อมาร้านที่สองคือร้านกาแฟชื่อ Cerrado Coffee ชอบร้านนี้มาก รักเลย ร้านเค้าจะขายเมล็ดด้วย โดยจะมีโซนสำหรับเทส ให้ชิมเลยทำไว้หนึ่งโซน เราก็ชิมๆ ชอบแบบไหนก็ซื้อเมล็ดกลับบ้านครับ
– ส่วนกาแฟที่ร้านก็ดีงามล้ำค่ามากๆ ควรค่าแก่การมาลองเป็นอย่างยิ่งครับ แต่ที่นี่เน้น Walkin นะครับ ที่นั่งจะไม่ค่อยมีเท่าไรครับ
– อีกสองร้าน ร้านแรกคือ Ohacarte เป็นคาเฟ่ที่ขายอาหารด้วย ตอนเราเดินรอบแรกเห็นคนต่อคิวเยอะมากครับ เลยไปร้านอื่นก่อน พอกลับมาปิด อดกินครับผม ใครได้ลองก็แวะมาบอกด้วยนะครับว่าดีจริงมั้ย
– ร้านสุดท้ายคือ Cocoroar ร้านดูจากข้างนอกสวยดีครับ แต่ไม่ได้ลองเพราะคิดว่าต้องรีบไปที่อื่นต่อ เลยเก็บไว้คราวหน้าแล้วกันนะครับ
– สรุปย่าน Minatogawa ที่นี่จะตั้งชื่อซอยตรอกต่างๆตามรัฐของอเมริกาครับ จะมีป้ายชื่อและป้ายร้านต่างๆที่อยู่ในซอยบอกเลย เท่ดีนะครับ ส่วนตัวร้านก็จะคล้ายๆกันหมด แตกต่างที่การตกแต่งครับ คือเป็นอาคารชั้นเดียวเน้นสีขาวเป็นหลัก ส่วนประตูหน้าต่างหรือผนังก็จะเพ้นท์แตกต่างกันไปครับ ชอบมากๆ



– Munagatado Bakery อีกร้านขนมปังไกลๆที่เราแวะไปครับ ร้านนี้อยู่ข้างนอกจากย่าน Minatogawa ครับ ต้องขับรถไปอีกแป๊ปนึง
– ร้านนี้จะต้องขับรถเข้าไปในหมู่บ้าน แล้วเข้าไปในรั้วบ้านอีกทีหนึ่งครับ ร้านจะเป็นบ้านเรียบๆดูไม่ออกเลยว่าขายขนมปัง ฮ่าๆ
– ร้านนี้ขนมปังจะค่อนข้างราคาสูงนิดนึงนะครับ แต่รสชาติก็อร่อยเลยครับ มีที่นั่งทาน มีเครื่องดื่มขายด้วยครับ


– ที่บอกว่าวันนี้เป็นวันเก็บตก คือพวกเราขับรถกลับไปยัง Cape Manzamo ครับ
– จริงๆแล้วถ้าเป็นไปได้ ควรจะเอา Cape Manzamo ไว้วันแรกเลย เพราะมันเป็นทางผ่านไป Nago ครับ
– และที่สำคัญแหลมนี้ใช้เวลาน้อยมากๆ เอาจริงๆประมาณ 30 นาทีเองครับ เพราะงั้นวันไหนที่จะไป Nago ให้แวะ Cape Manzamo โลด
– แหลมนี้เป็นแหลมชื่อดังที่แมสสุดๆ ยังไงถ้ามาโอกินาวะก็ต้องมาแวะกับเจ้าโขดหินรูปช้างนี่แหละครับ ถามว่าสวยไหม ผมก็เฉยๆ ไม่อินนะครับ เอาเป็นว่ามาเก็บให้ครบๆละกันครับ
– แต่สิ่งที่ดีระหว่างทางไป Cape Manzamo คือ Poke Bowls ครับ
– เหตุผลที่แท้จริงที่แวะมาที่นี่คือ เราอยากมากิน Poke Bowls ที่ร้านนี้ครับ 808Poke Bowls
– ใครไม่ทราบว่าไอ้เจ้า Poke Bowls เนี่ยคืออะไร มันก็คือข้าวหน้าต่างๆนี่เองครับ เป็นฮาวาเอี้ยนฟู๊ด แต่มาประยุคใหม่ โดยจะออกแนวญี่ปุ่น คือเป็นข้าวหน้าปลาดิบที่คลุกซอสแบบพิเศษที่ร้านเค้าทำมา โดยเราเลือกได้ว่าจะเอาหน้าอะไร ซอสแบบไหนครับ คือดี อร่อยมากๆ แนะนำเลยครับ

– เป้าหมายหลักที่แท้จริงคงไม่พ้นเรื่องกิน ฮ่าๆ แต่ก็ทำให้เราถือว่าทำมิชชั่นได้สำเร็จครับ
– กินคาวไม่กินหวานสันดารไพร่ นั่นไง เลยต้องตบท้ายด้วยร้านขนม และย้อนอีกแล้วครับท่าน
– ต้องขับรถย้อนเข้าไปที่ Yoshimun ครับ
– ที่นี่เราจะพบกับร้านขนมปังย้อนยุค สุดคลาสสิค ชื่อ Bakery Suien ครับ
– บรรยากาศร้านแบบนี้สายคาเฟ่อย่างเราไม่มีทางพลาดแน่ๆ พอมาถึงก็สมใจอยากครับ แถมได้ลองเครื่องดื่มบ๊วยมะนาวที่เป็นแบบ Seasonal Drink ด้วย กินกับขนมปังของทางร้าน ก็ปิดท้ายวันนี้ได้อย่างสวยงามอีกวันครับผม


– จากนั้นก็ขับรถกลับ Naha ไปคืนรถอีก 2 ชม. ครับ
– ผมเลือกคืนรถที่สาขา DFS ของ OTS ครับ
– ตอนแรกก็ไม่รู้ว่า DFS คืออะไร นึกว่าคือชื่อตึก พอมาถึงตาม GPS บอก วนไปวนมาประมาณ 2 รอบถึงจะรู้ว่าต้องวนเข้าประตูที่จอดรถของตึก T-Galleria ครับ
– ที่นี่จะมีแผนกรับรถ และเคาท์เตอร์ร้านเช่ารถอยู่ เล่นเอา งง เลยครับ
– สำหรับคนที่จะมาหาซื้อของแบรนด์เนม ไม่ต้องไปไหนไกลครับ ตึกนี้เลย T-Galleria มีทุกแบรนด์ Gucci Channel Balenciaga มาละลายทรัพย์กันได้ที่นี่ครับ สนามบินไม่มีแน่นอน

Day 5 : 24/08/2018 (Koukusai Street / T&M Coffee / Onigiri Honten)

– วันสุดท้ายของทริป ก็จะออกแนวขี้เกียจหน่อย
– เพราะเราคืนรถเช่าไปแล้ว ทำให้แพลนวันนี้คือเดินเที่ยวและช็อปปิ้ง นอนตื่นสายหน่อยๆ ก็พอแล้ว
– วันนี้เราต้องเช็คเอ้าท์ และฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมครับ จากนั้นก็ตื่นมากินอาหารเช้ากันที่ รร. ค่อยๆเคลื่อนตัวอย่างสโลว์ไลฟ์ ตามสไตล์คนเชียงใหม่
– ด้วยความที่โรงแรมของเราอยู่ใกล้ย่าน Koukusai Dori ทำให้เราไม่ต้องนั่งรถไฟฟ้า หรือใช้รถใดๆ ใช้เพียงขาของเราเดินจาก รร. ไปประมาณ 8-10 นาที
– วันนี้อากาศจะแปลกๆหน่อย อยู่มา 4 วันไม่เจอฝนเลย วันนี้เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก ตลกดี
– ย่าน Koukusai Street นี่จะเป็นถนนยาวๆเลย แต่ไม่เหมือนพวกเส้นช็อปปิ้งของ Osaka ที่อยู่ใต้หลังคา อันนี้ร้านรวงอยู่สองข้างทางของถนน ถ้าฝนตก ต้องทำตัวลีบๆ หลบใต้หลังคาหรือเข้าไปในร้าน
– พอมาเดินย่านนี้เข้าจริงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นร้านขายของฝาก ซึ่งรอบนี้ก็ไม่รู้จะขนไปฝากใครนักหนา เลยได้แต่เดินเล่นดูรอบๆ

– ส่วนที่น่าสนใจของย่านนี้น่าจะเป็นพวกร้านเสื้อผ้า Street Wear หรือร้านเครื่องหนัง Handcraft มากกว่า
– ย่านนี้เดินสนุกกว่าเยอะเลย จะอยู่ตรงสี่แยกไฟแดง ใกล้ๆร้าน Steak Dining 88 ครับ
– ในซอยนี้สองข้างทางจะเป็นแบรนด์ Street Wear ไปจนถึงแบรนด์โลคอลครับ ใครขนเงินมาช็อปก็จัดเต็มกันได้เลย

– หลังจากเสียเงินกันพอหอมปากหอมคอ จากนั้นเราก็ไปหากาแฟกินครับ ได้ร้านโลคอลแถวนั้น แต่กาแฟและบรรยากาศดีมากๆครับ
– T&M Coffee ร้านอยู่ตรงข้ามซอยกับ ถนนวัยรุ่นครับ เดินหาไม่ยาก อยู่ใกล้ๆร้านราเมงครับ
– ร้านนี้เป็นร้านกาแฟในบ้านญี่ปุ่นสองชั้น ด้วยตัวร้านเล็กๆ ก็จะมีโต๊ะนั่งไม่เยอะ ชั้นสองต้องถอดรองเท้าขึ้นไป ส่วนกาแฟดีเช่นเคย แถมด้วย Tiramisu ที่อร่อยเด็ดไม่แพ้กัน ผมแอบเห็นสั่งกันเกือบทุกโต๊ะครับ


– จากร้านการแฟก็เริ่มหิวแล้ว เราตามรอยน้องที่เคยมาก่อนหน้านั้นครับ เป็นร้าน Onigiri Honten เป็นข้าวปั้นญี่ปุ่นแบบปั้นสด เพิ่งเคยกินครั้งแรก!!!
– โอโห ต้องบอกว่าอร่อยกว่า Lawson เยอะเลย ฮ่าๆ แน่ล่ะสิ
– ขั้นตอนก็ให้เลือกว่าเราอยากได้หน้าแบบไหน จ่ายเงิน แล้วก็ยืนรอครับ ในร้านห้ามถ่ายรูปนะครับผม และไม่มีโต๊ะนั่ง ซื้อมาเสร็จก็ยืนกินกันแถวนั้นเลย
– กินอิ่มก็ช็อปปิ้งกันต่อ แดดเริ่มเย็นลง ลมเย็นๆโกรกเข้ามา เดินสนุกกว่าตอนร้อนๆเยอะเลยครับ แต่ก็มีจำนวนคนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเช่นกัน
– จากนั้นก็เดินทางไปสนามบินด้วย Taxi ครับ เรียกรถจากถนนนี้ให้ไปส่งโรงแรมเพื่อไปเอากระเป๋า และมุ่งตรงไปสนามบินครับ
– เนื่องจากสนามบินของเราขากลับก็สนามบินเดิม LCC Terminal รถไม่สามารถเข้าไปส่งได้นะครับ ต้องให้ Taxi ส่งที่ International Terminal จากนั้นนั่งรถ Shuttle Bus ไปที่ LCC ครับ
– ขั้นตอนการเช็คอินก็ไม่ยากครับ ก็เข้าไปที่เครื่อง Kiosk สแกน passport กดหมายเลขบุ๊คกิ้งของตั๋วเครื่องบินที่จองมา ก็จะได้ตั๋วมาครับ หากมีโหลดก็นำไปโหลดที่เคาท์เตอร์ (ที่นี่ค่อนข้างเคร่งนะครับ ต้องน้ำหนักเป๊ะๆเลย)
– จากนั้นก็รอขึ้นเครื่องกลับบ้าน ด้านในเกตจะมีร้านค้าเล็กๆ ให้ทำลายเหรียญกันนิดหน่อยครับ ของฝากมีนิดเดียว ซื้อมาจาก Koukusai Dori ดีที่สุดครับ

บทสรุปทริปโอกินาวะ โนแพลน 5 วัน 4 คืน
ทริปนี้ถือว่าเป็นทริปที่ชิลที่สุดของผมแล้วครับ กับการมาเที่ยวแบบง่ายๆ ไม่คิดอะไรมาก แต่กลับว่าประทับใจสุดๆ จนอยากกลับมาอีกครั้งเลยครับ
เพราะที่นี่ผมคิดว่ามันเป็นญี่ปุ่นอีกแบบในแบบที่ผมไม่เคยพบมาก่อน ทะเลสวย อาหารอร่อย บรรยากาศแบบชิวๆ ริมทะเล ผู้คนดูไม่วุ่นวายเคร่งเครียดหรือแฟชั่นจ๋า เหมือนฝั่งโตเกียว หรือ โอซาก้า
ที่นี่คนญี่ปุ่นเองก็ต่างพาครอบครัวมาเที่ยว แต่งตัวสบายๆ ตกเย็น ตกค่ำก็ดื่มเบียร์ กินปิ้งย่าง คุยกันเอะอะ แถมขนมคาเฟ่ของที่นี่ก็ดีซะอยากจะยกกลับบ้านทุกร้านเลยครับ

ค่าใช้จ่ายทั้งทริปคร่าวๆนะครับ

  • ค่าเช่ารถ 4 วัน 6600 บาท
  • ค่าน้ำมันเติมรอบเดียว 1200 บาท
  • ค่าทางด่วนทั้งทริปประมาณ 1000 บาท
  • ค่าโรงแรมสองคน 4 คืน 8500 บาท
  • ค่าอาหาร กาแฟ ขนม ของกินซื้อของจุกจิก ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ ประมาณคนละ 9000 บาท (กินเต็มที่)

รวมเบ็ดเสร็จ 26,300 บาท (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน)

Share

Comments

comments

You may also like